One Shot : I PUT A SPELL ON YOU (mpreg)
© All rights reserved 10.45 a.m.
"อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเองอย่างนั้นหรือ โง่เง่าสิ้นดี ข้าแต่งกับลูกชายขุนนางฝั่งใต้มาจวนจะสองปีแล้ว หาได้มีความรักให้กันไม่"
"อย่างนั้นหรือ น่าขันนัก ภรรยาของเจ้าก็ออกจะน่าเอ็นดู โดยทั่วไปมีภรรยาเด็กจะกระชุ่มกระชวยกันไม่ใช่หรือ"
คัง ดงอุน เอ่ยถามสหายรักที่คบกันมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกจวบจนทุกวันนี้ที่อายุขึ้นเลขสามก็ยังมีเรื่องพานให้ชวนขบคิดกันอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อ คิม ซอกจิน หนุ่มเจ้าเสน่ห์มานั่งระบายความในใจหลังจากที่นึกย้อนกลับไปเมื่อคราวแต่งเมียไปเมื่อเกือบสองปีก่อนกับลูกขุนนางจากทางใต้ที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการโดยเฉพาะ หากแต่องค์ชายกลับมอบ คิม แทฮยอง ให้เป็นของขวัญแก่เขาแทน เหตุใดจึงต้องมอบของขวัญให้น่ะหรือ เพราะซอกจินเป็นหนึ่งในคณะกวีเอกที่องค์ชายปลาบปลื้มและหยิบยื่นความเมตตามาให้เสมอน่ะสิ
"ข้ามิเคยคิดเช่นนั้น เพียงแค่เห็นหน้าข้าก็เหนื่อยเสียแล้ว"
"พับผ่าสิ จะบอกว่าไม่เคยทำเรื่องอย่างว่ากันเลยน่ะหรือ"
"หน้าตาบูดบึ้งตึงตัง เห็นกี่คราก็เหนื่อยใจ เป็นเจ้า เจ้าจะทำอะไรลงหรือ" ซอกจินยกสุราในจอกเล็กกระดกจนหมดหวังระบายความหน่ายแหนง ภรรยาของเขาเด็กกว่าห้าปี แต่ไม่ได้ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเมียใครอื่นเขาสักนิด
"แปลกแท้ แทฮยองเป็นที่รู้จักในนามหนุ่มดอกไม้ราวกับกุหลาบแรกแย้ม แต่กลับเฉยเมยต่อคนเป็นสามี"
"หวังให้แทฮยองยิ้มให้ข้า เปลี่ยนเมียคงจะง่ายเสียกว่า ทำไมเลิกคิ้วขึ้นขนาดนั้น ดูสิ หน้าผากเจ้ากว้างขนาดนี้ คิ้วยังจะไปจรดโคนผมเจ้าเลยดงอุน"
"ข้ารู้แล้วซอกจิน เหตุใดองค์ชายต้องหาภรรยาให้เจ้า ปากเสียยิ่งกว่าอะไรดี ข้าชักจะเทใจสงสารแทฮยองเสียแล้ว"
ซอกจินเป็นกวีที่องค์ชายปลาบปลื้มแน่นอนว่าต้องมีฝีไม้ลายมือไม่แพ้บุรุษอื่นเป็นแน่ หากแต่ความสามารถพิเศษของเจ้าตัวอีกสิ่งคือฝีปาก ฉะฉานและค่อนขอดเก่งเป็นที่หนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่ภรรยาของเขาเอง
หลังจากที่นั่งสนทนากับสหายรักจวบจนตะวันตกดิน ร่างสูงสง่าที่บัดนี้กลับเดินโซซัดโซเซจะล้มไม่เป็นท่า แต่ซอกจินก็ยังอาศัยพยุงตามต้นไม้มาจนถึงเรือนได้ รองเท้าถูกถอดทิ้งอย่างไม่ใส่ใจไว้นอกบ้านขณะที่เจ้าตัวแทบคลานเข้าไป
เสียงเหมือนของหนักหล่นลงบนพื้นทำให้เจ้าของบ้านอีกคนสะดุ้งตกใจตื่นจากห้วงนิทรา หัวคิ้วตีกันจนยุ่งก่อนที่จะกระชับเสื้อคลุมให้แน่น แทฮยองไม่มั่นใจนักว่าอาจจะมีโจรบุกรุกอย่างที่คนในตลาดนั้นลืออ้างกันหรือไม่ ทั้งสามีของตนก็ยังไม่กลับอีกต่างหาก ความกลัวที่มีแต่เดิมจึงเริ่มกัดกุมใจทีละน้อยเมื่อด้านนอกนั้นตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยเบา ๆ เป็นระยะ
แทฮยองทำใจกล้าคว้าไม้ที่อยู่มุมห้องขึ้นมาหมายใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว เขาผลักประตูออกอย่างระมัดระวัง เพื่อสอดส่องดูว่าเป็นโจรอย่างที่คิดหรือไม่ ทว่าเมื่อประตูถูกแง้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ กลับกลายเป็นว่าแทฮยองพบแต่ความว่างเปล่า ความกลัวที่แบกใส่บ่านั้นมีมากขึ้นจนเขารีบปิดประตูห้องในทันที
วินาทีนี้ภาวนาให้เป็นโจรเสียยังจะดีกว่าเป็นผี แทฮยองรับมือได้ทุกสิ่ง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ แต่ถ้าหากเป็นผี แทฮยองขอถอยตั้งแต่สองร้อยเมตรแล้วจริง ๆ
"แม่จ๋าพ่อจ๋าช่วยแทด้วย แทกลัวผี"
คนตัวเล็กยกมือประนมกลางอกหลับตาปี๋ไม่กล้าลืมตา สองเท้าสืบเข้าหาเตียงทั้งที่เปลือกตายังหลบแน่น ขาสั่นพั่บ ๆ ก้าวแทบไม่ออก ต่อมาเสียงประตูไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดก็ดังมาจากทางด้านหลังยิ่งทำให้ในอกของแทฮยองเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาอยู่รอมร่อ เจ้าตัวคลุมโปงทันทีพลางซุกใบหน้าลงกับหมอน
นานหลายนาทีเสียงแปลก ๆ นั่นหายไปสิ้นแล้ว เหลือไว้เพียงความกลัวที่ยังแผ่ซ่านไปทั่วห้อง วินาทีที่จะโผล่หน้าออกจากผ้าห่มไปมอง ทันใดนั้นดวงตากลมโตก็เบิกโพลงขึ้นในทันใดเมื่อสัมผัสเย็น ๆ ที่ข้อเท้าไล่ลามมาจนถึงช่วงเอว
"ฮือ พ่อจ๋า ช่วยแทด้วย ผีจับเอวลูกแล้ว"
"..."
"อย่ามาหลอกกันเลยนะพี่ผี แทจะทำบุญไปให้พี่พรุ่งนี้เลยนะ"
เจ้าตัวพูดพร่ำคำเดิมจนสัมผัสนั่นมาจบลงที่กลางหลัง ผีมีน้ำหนักมากขนาดนี้เชียวหรือแทฮยองไม่แน่ใจนัก หากแต่ในใจยังสวดมนต์ไล่ผีจบไปสิบรอบผีก็ยังไม่ไป เห็นทีจะต้องไปพบหลวงพ่อที่วัดเพื่อสนทนาธรรมเสียหน่อยแล้วว่าเพราะเหตุใดบทสวดที่ให้มาจึงใช้ไม่ได้ผล
แทฮยองรวบรวมความกล้าขยับตัวเล็กน้อยแต่น้ำหนักนั่นก็ยังไม่หายไปไหนรังแต่จะหนักกว่าเดิม จากนั้นก็มีเสียงแปลก ๆ ออกมา ทว่าครั้งนี้แทฮยองไม่กลัวอีกต่อไปเมื่อเจ้าของเสียงนั่นจับต้นขาของเขาทั้งสองข้างแล้วใช้ใบหน้าซุกไซร้ไปตามแผ่นหลังของแทฮยอง
"นี่! ซอกจิน ท่านรุ่มร่ามกับข้าแบบนี้ไม่ได้นะ" แทฮยองอยากจะผลักคนตัวโตออกจากร่างแต่เขาจะทำอย่างไรในเมื่อยังถูกนอนทับอยู่เช่นนี้
"อื้อ หมอนนุ่ม"
"หมอนอะไรของท่าน ลุกออกจากตัวข้าได้แล้ว"
"อือ"
"ท่านดื่มสุรามาหรือ เหตุใดกลิ่นจึงเหม็นเฉ่าเช่นนี้ อื้อ ออกไปนะ"
หลงคิดว่าเป็นผีบ้านผีเรือนตั้งนานสองนาน ที่ไหนได้เป็นผีผ้าห่มหรือนี่!
"กินเหล้าเมามายยังไม่วายถูกเมียบ่น"
"ท่านจะมาเจ้าบทเจ้ากลอนอะไรเอาตอนนี้ ออกจากตัวข้า อะ อย่าเอาหน้าท่านมาถูหลังข้านะจิน"
"อื้อ หอมจัง"
"ฮือ ตัวก็ใหญ่ยังจะมานอนทับข้าอีก ตัวข้าจะจมไปกับเตียงแล้วนะ"
แทฮยองออกแรงเฮือกใหญ่พลิกตัวหวังจะเบี่ยงตัวออกแต่กลับถูกพ่อนักกวีเอกรวบเอวไว้แน่นแล้วซุกใบหน้าลงมากับหน้าท้องเขาเสียได้ เสื้อที่สวมอยู่พลันเลิกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ร้อยวันพันปีซอกจินไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้ ต่อให้เมามายเพียงใดก็ไม่เคยรุ่มร่าม พาตนเองกลับไปห้องนอนได้เสมอ
บ้านนี้มีสองห้องนอนเสมือนรู้ว่าภรรยาและสามีจะไม่นอนร่วมเตียงหรือแม้แต่ร่วมห้องกัน นับตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้ามาในนามของบรรณาการจากเมืองทางใต้ แทฮยองก็ขอแยกห้องนอนกับซอกจินมาโดยตลอด แต่เหตุใดวันนี้เจ้าตัวจึงมานอนเอาหน้าซุกกับหน้าท้องแทฮยองเช่นนี้กันเล่า ท่าทางของทั้งสองอยู่ในท่าล่อแหลมเกินไป แม้จะเป็นสามีภรรยาก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่จะถูกเนื้อต้องตัวกันบ่อยครั้งนัก แต่ละครั้งก็เหตุบังเอิญทั้งนั้น
"ข้าเหม็น"
"เหม็นอันใด เหม็นผัวงั้นรึ เจ้าท้องแล้วอย่างนั้นหรือ"
"พูดอะไรของท่าน ท้องอะไร ผ...ผัวอะไรกัน"
"ข้าได้ยินเสียงเด็กในท้องของเจ้า แทฮยอง"
แทฮยองปากสั่นไปหมด ใครดลใจให้ซอกจินมาพูดเรื่องนี้ มือคู่สวยพยายามจะผลักใบหน้าหล่อออกแต่ซอกจินก็ยังไม่ยอมผละห่างไปไหน แล้วแทฮยองจะเอาอะไรไปท้อง เสกเด็กเข้าท้องรึไง สติฟั่นเฟือนเสียแล้ว ทั้งสองไม่เคยมีอะไรกันด้วยซ้ำ
"พ่อข้าเคยกล่าวว่าหากภรรยาเหม็นสามีแสดงว่ากำลังจะได้ลูกชาย"
"ไปกันใหญ่แล้วท่าน ข้าเหม็นกลิ่นสุราจากเนื้อตัวของท่านต่างหากเล่า" แทฮยองรีบแก้ความเข้าใจให้คนเป็นสามีทันทีก่อนจะออกแรงผลักเขาออกอีกครั้ง
"ผลักไสข้าเช่นนี้ เจ้ารังเกียจข้ามากเลยหรือ" ดวงตาคนเมาเยิ้มเพราะฤทธิ์สุรา ใบหน้าแดงก่ำกว่าทุกครั้ง
"ซอกจิน หากท่านยังไม่เลิกพร่ำเพ้อพรรณนาไร้สาระข้าจะตีหลังท่านให้อานเสียเลยดีหรือไม่"
"หากตีด้วยปากเจ้า ข้าจะยอม"
"หัวท่านต้องกระทบกระเทือนเป็นแน่ เหตุใดจึงพูดจาเช่นนี้ มิใช่ว่าผีสิงท่านหรอกหรือ"
"ข้าอยากเป็นสามีของเจ้า มิใช่เพียงแค่นาม แทฮยอง"
เจ้าของชื่อชะงัก มือที่คอยดันอีกคนออกกลับจะหมดแรงไปเสียดื้อ ๆ ริมฝีปากหยักเม้มแน่นเป็นเส้นตรงราวกับว่ากำลังชั่งใจบางอย่างก่อนจะเป็นฝ่ายขยับกายออกห่างเขาเอง
"ท่านไม่มีสติแล้ว กลับไปนอนเสียเถิด"
"นอนข้างเจ้าได้หรือไม่"
"ไม่ได้"
"ทำไมเล่า ก็เราเป็น-"
"ท่านตัวเหม็น ข้าเกลียดกลิ่นพวกนี้"
"แสดงว่าหากข้าผลัดผ้าแล้วก็นอนข้างเจ้าได้ใช่หรือไม่"
"ไม่!"
แทฮยองปฏิเสธเสียงแข็ง ไฉนสามีที่เมินเฉยใส่เขามาโดยตลอดจึงกลับคำ กลืนน้ำลายตนเองเช่นนี้ แทฮยองจำได้ดี ประโยคแรกที่พ่อกวีคนนี้ทักทายเขาคืออะไร
'เด็กขนาดนี้จะเอามาทำอะไรได้ สบตายังไม่กล้า จะทำเมียได้อย่างไร'
หลังจากนั้นมาแทฮยองก็นึกผูกใจเจ็บกับคำว่าที่คนโตกว่าเคยกล่าวเอาไว้ ดูแคลนเขาสารพัด เห็นว่าเป็นลูกขุนนางคงทำอะไรไม่ได้ ต้องมีพี่เลี้ยงตามมาดูแล ได้ยินเช่นนั้นมีหรือแทฮยองจะยอม เอ่ยปากสั่งให้พี่เลี้ยงกลับไปพร้อมกับคณะที่ท่านพ่อส่งมา หยามใครก็หยามไปแต่จะมาหยาม คิม แทฮยอง เขาคนนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด!
"ข้าเป็นภรรยาให้ท่านไม่ได้หรอกจิน ข้าเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่องพวกนั้น" แทฮยองยอกย้อนกลับ
"ปีนี้เจ้าจะยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์แล้วหนา หากเป็นบ้านอื่นคงมีลูกเป็นครอกแล้ว"
"เดี๋ยวเถิด เป็นคนมิใช่ลูกหมูลูกหมาที่ไหนจึงจะได้ออกลูกเป็นครอก และเป็นถึงคนโปรดขององค์ชาย ท่านจะกลืนน้ำลายตนเองได้อย่างไร เช่นนี้หาได้น่าเชื่อถือไม่"
"ยังโกรธเคืองข้าเรื่องที่ข้าว่าเจ้าเมื่อครั้งแรกพบกันอยู่รึ"
"..."
"หากใช่ ข้ายอมกลืนน้ำลายตัวเอง ข้ายอมเป็นคนตระบัดสัตย์ หากว่าเจ้าจะยินยอมเป็นภรรยาของข้าด้วยใจของเจ้า แทฮยอง"
♤♤♤
"ท่านพี่ไปพูดกับท่านซอกจินเช่นนั้น หากว่าทั้งคู่ทะเลาะกันจะทำอย่างไรเล่า"
หลังจากที่สุราหมดไปราวสิบจอก พ่อหนุ่มกวีที่เมาจนพูดไม่ได้ความก็ฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะหลัง ทว่าเจ้าของร้านผ้าแพรอย่างดงอุนกลับยังคอแข็งตั้งตรง ก็แน่ล่ะสิ ในเมื่อสุรานั่นเขาแทบไม่ได้แตะ ซอกจินคนเดียวเล่นกระดกซดเสียจนกลิ่นสุราเหม็นคลุ้งเพราะเรื่องของภรรยาเด็ก
"ข้าเพียงแค่พูดเย้าแหย่ ว่ามีอีกหลายบุรุษพร้อมดูแลบุษบาที่งามพร้อม หากเจ้าของไม่แลเห็นค่าก็จงคืนความงามนั้นให้แก่ผู้ที่เห็นคุณค่า วันใดที่พรผกาอับเฉาก็มีแต่ผู้ที่เฝ้าชื่นชมนั่นเองที่จะเสียใจ"
"นี่สินะ หากต้องเจรจากับกวีก็ต้องเปรียบเปรยเป็นภาษาดอกไม้เช่นนี้"
"ข้าเพียงแค่สะกิดให้เพื่อนปากแข็งของข้ารู้ตัวเสียบ้าง ปากบอกมิได้รักชอบแต่เมื่อเห็นของสวยงามนั่นนี่ก็นึกถึงแทฮยองและซื้อไปฝากเสมอ อย่างกำไลข้อมือหยกและผ้าแพรผืนงามจากเมืองจีนนั่นก็ซื้อไปให้"
"เป็นข้านะจะร้องขอของราคาแพงเสียให้เข็ดหลาบ"
คัง โยจอง รินน้ำชาให้พี่ชายต่างบิดาก่อนจะหันไปไกวเปลเจ้าก้อนนุ่มนิ่มสีพีชที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ในนั้น โยจองเป็นบุตรชายคนเล็กของเศรษฐีผ้าแพรสกุลคัง ออกเรือนไปได้สองปีกว่าเห็นจะได้ โยจองก็ให้กำเนิดบุตรสาวหน้าตาจิ้มลิ้มไม่ต่างจากเจ้าตัว
"ข้าก็อยากจะให้แทฮยองทำเช่นนั้น พ่อคนมีสตางค์อย่างซอกจินจะได้ใช้หัวคิดเรื่องอื่นแทนบทกาพย์กลอนและใช้เงินซื้อของเอาใจเมียเสียบ้าง"
"จะว่าไปเมื่อหลายวันก่อน แทฮยองมาปรึกษาข้าด้วยท่านพี่"
"หืม เรื่องอะไร"
"แทฮยองมาถามข้าว่าเลี้ยงเด็กอ่อนน่ะยากไหม การมีลูกคนแรกยากมากเลยใช่หรือไม่" คนเป็นพี่เลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ ทว่าวินาทีต่อมาก็เปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มแทน
"โยจอง"
"มีอะไรหรือ"
"เห็นทีข้าคงต้องซื้อเปลไกวอย่างเจ้ามารับขวัญหลานคนใหม่เสียแล้ว"
♤♤♤
"เมื่อคืนเจ้าเช็ดตัวให้ข้าหรือ" ซอกจินเอ่ยถามคนเป็นภรรยาที่กำลังถกแขนเสื้อง่วนอยู่กับการทำนูรุงจี อาหารว่างที่เจ้าตัวชอบ
"ไม่ใช่ ท่านเดินลงแม่น้ำเอง"
"เหตุใดจึงต้องต่อคำกับข้าเสมอเลย หืม"
"ข้าเปล่า ก็ท่านถามแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง"
"ไฉนจึงไม่เป็นเรื่อง ก็เจ้าเช็ดตัวผลัดผ้าให้ข้า เรื่องใหญ่โตมากด้วย"
"ข้าทำเพราะท่านตัวเหม็นเฉ่ากว่าที่ข้าจะปล่อยไว้ในเรือนได้ หากมีคนอื่นช่วย ข้าคงไม่ต้องลงแรงเอง" แทฮยองพูดตอบทั้งที่สายตาจับจ้องไปบนกระทะร้อนทรงแบน ไม่ได้หันไปสนใจคู่สนทนาเลย
"หน้าตาบึ้งตึง ทั้งกิริยาวาจายังไม่น่ารัก เหตุใดจึงไม่น่าเอ็นดูเท่าเมียบ้านอื่นเสียบ้างก็ไม่รู้"
"ท่านฟังข้าให้ดีเถิด หากต้องการภรรยาแบบบ้านอื่นก็ไปหาเอาใหม่ อย่าได้ไปฉุดใครเขา"
"ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น"
"ข้าทำนูรุงจีไว้ หากท่านอยากจะชิมก็เชิญ ข้าขอตัว"
คนเด็กกว่าสะบัดก้นไปพร้อมกับจานของว่างที่ทำอยู่นานสองนาน แม้จะลองผิดลองถูกหลายครา แต่กลับไม่มีครั้งไหนที่ได้ดั่งใจ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ซอกจินปรายตามองนูรุงจีที่เหลือบนกระทะนั่นที่ไหม้เกรียมไปแถบหนึ่ง ร่างสูงตักใส่ภาชนะใบเล็กก่อนจะตรงไปนั่งที่ลานหน้าบ้านกับภรรยาของเขาที่กำลังจรดพู่กันแต่งเติมภาพทิวทัศน์บนเขาที่ซอกจินพาไปเมื่อสัปดาห์ก่อน
"อร่อย" ซอกจินกลืนของว่างนั่นลงท้องทั้งที่มันไหม้เกรียมขมคอด้วยซ้ำ
"ข้าไม่ได้ต้องการคำตอบจากท่านนะ" แทฮยองหันมามองด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
"ข้าแค่อยากบอกเจ้า หากข้าวยังเหลือพรุ่งนี้เจ้าจะได้ทำให้ข้าอีก"
"ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ เหตุใดจึงมาวอแวตามติดข้าเช่นนี้"
"..."
"ลืมแล้วหรือว่าท่านจำใจมากเพียงใดที่ต้องแต่งกับข้า"
"ข้าไม่เคยลืม หากแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ใจมนุษย์ก็เปลี่ยนตาม บุปผายามเช้าแรกแย้มสบตาพาใจข้าถวิลหาแม้นั่งเคียงข้าง" ดวงตาเปล่งประกาย คนเป็นสามีมองเข้าไปในตาคนน้อง เนิ่นนานจนมีคนเสียอาการ ต้องเบือนหน้าหนี
"ข้าไม่เข้าใจบทกลอนใดของท่านหรอก"
"หากไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าจึงไม่มองหน้าข้าเสียแล้วล่ะ หืม แล้วเพราะอะไรตอนนี้ปรางแก้มของเจ้าถึงได้แดงระเรื่อกว่าสีน้ำที่เจ้าระบายอีกเล่าแทฮยอง" ซอกจินเชยคางคนภรรยาขึ้นมาสบตาได้เพียงแค่ชั่วครู่ก็รีบหลุบตาต่ำอีกครั้ง
"เมื่อครั้งก่อนเก่า ท่านเคยตำหนิข้าว่าบทกลอนมันไม่ช่วยให้ข้าประเทืองสมอง ฟังไปก็ไม่เข้าใจ" น้ำเสียงและสีหน้าแสดงถึงความเสียใจที่ไม่ได้รับความเอาใจใส่ แทฮยองเบะปากลงเล็กน้อยก่อนจะหันไปแตะพู่กันลงบนกระดาษเพื่อหลบเลี่ยงสามี
"โถ ข้ามันปากพล่อยเสียจริง"
"ครั้งนั้นข้าโกรธและน้อยใจท่านเหลือเกิน"
แทฮยองกัดริมฝีปากตนเองพลางกำพู่กันในมือแน่น เสียงแผ่วเบาลงแทบจะสลายหายไปกับสายลม หากแต่อีกคนกลับเรียกเขาออกจากภวังค์ด้วยลมหายใจอุ่น ๆ พร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง
"ความน้อยใจมักจะเกิดจากคนที่เราใส่ใจ ข้าพูดถูกหรือไม่"
"..."
"หากเจ้าไม่ตอบข้าจะคิดเข้าข้างตนเอง ว่าเจ้าใส่ใจข้า รวมถึงนูรุงจีจานนี้ก็ด้วย"
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านร่มไม้ลงมายังซอกจินและแทฮยอง รสข้าวขมในปากกลับกลายเป็นรสหวานได้อย่างน่าประหลาดใจในยามที่พินิจใบหน้าหวานของคนเด็กกว่า เพียงเสี้ยวหน้าก็ให้ความรู้สึกน่าหลงใหลและน่าทะนุถนอมไปพร้อมกัน หากแต่เจ้าของใบหน้านั้นมักจะแสดงความไม่พอใจมาให้เขาเสียมากกว่า
"ที่ข้าไม่ตอบเพราะข้ากำลังตั้งสมาธิกับภาพของข้าต่างหาก หากท่านกวีเอกว่างมากนัก โปรดไปเข้าเฝ้าองค์ชายเสียเถิด"
"ภาพของเจ้าสวย หากได้เติมแต่งอีกเพียงนิดก็จะสมบูรณ์" ร่างสูงเคลื่อนกายเข้าใกล้จนใบหน้าอยู่ห่างจากจิตรกรเพียงคืบ
"ท่านเปลี่ยนเรื่อง"
"ขนาดภาพยังต้องการเติมเต็ม เหตุไฉนเจ้าจึงใจร้ายไม่เติมเต็มให้ข้าบ้างเล่า"
แทฮยองหันมองซอกจินที่แนบชิดเข้ามาทุกขณะ ดวงตากลมโตไหวระริกไปชั่วครู่หลังจากฟังสามีของตนกำลังเอ่ยเช่นนั้น ใจดวงน้อยในอกเต้นระรัวผิดจังหวะตั้งแต่ที่เจ้าตัวมานั่งเคียงข้างแล้ว
"โปรดปฏิบัติตัวเช่นสามีคนเดิมเถิด ข้าไม่รู้ว่าท่านได้รับคำสั่งใดมาบ้าง แต่อย่าเลย ท่านไม่จำเป็นต้องฝืนเช่นนี้"
"การที่ข้านอนกอดเจ้าทั้งคืนนั่นเรียกฝืนหรอกหรือ แขนข้าก็กอดเอวเจ้าเอง จมูกข้าก็ซุกกับไหล่เจ้าเอง หาได้มีผู้ใดบังคับ"
"ท่าน..."
"ตัวก็ตัวของข้า ใจก็ใจของข้า ใครจะมาสั่งได้ หืม"
จากคืบก็เหลือเพียงแค่เส้นอากาศมาขวางกั้น ซอกจินยิ้มกริ่มแล้วพริ้มตาลงเช่นเดียวกับภรรยาตัวเล็ก ลมหายใจที่ใช้ร่วมกันกำลังทำให้ทั้งคู่รู้สึกราวกับมีผีเสื้อบินว่อนในท้อง
"ซอกจิน องค์ชายเรียกพบ"
เสียงคนคุ้นเคยขัดขึ้นก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะสัมผัสเข้าที่พวงแก้มเนียนของภรรยาที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศรอบตัว ซอกจินยืดตัวขึ้นก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉย ทว่าดงอุนมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าภายในใจคงขุ่นมัวไม่น้อยที่มีคนมาขัดจังหวะเข้า
"ดงอุน เจ้าศึกษามาก็ไม่น้อย ทางโรงเรียนไม่สอนมารยาทบ้างเลยรึ" ซอกจินเอ่ยปากทันทีที่เดินออกมาพ้นรั้ว
"โถ่ซอกจิน โรงเรียนข้ากับเจ้าก็ที่เดียวกันนั่นแหละ อย่าหาพูดดีไปเสียหน่อยเลย โมโหที่ข้าเข้าไปขัดจังหวะอย่างนั้นหรือ"
"เจ้ามันน่ารำคาญนัก ดงอุน"
ซอกจินมองสหายด้วยหางตาแล้วจ้ำอ้าวเข้าวังทันที ในขณะที่แทฮยองกำลังนั่งกัดริมฝีปากตนเองอย่างลืมตัวเมื่อคิดถึงแต่เรื่องของสามีที่เปลี่ยนไป จะว่าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงก็คงไม่ เพราะช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมานั้นซอกจินต่างก็คอยถามไถ่ถึงทางครอบครัวของเขาเพราะจะมีจดหมายส่งมาในทุกเดือนจากทางใต้
นอกจากนี้ยังมีของติดไม้ติดมือมาฝากเขาเสมอ ครั้งแรกแทฮยองไม่ได้ใส่ใจว่าซอกจินจะซื้อสิ่งใดมาบ้างเพราะอย่างไรแล้วก็คงไม่ให้เสียหน้า ทว่าเขาต้องปรับความคิดเสียใหม่เมื่อได้รู้จักกับโยจองซึ่งเป็นน้องชายของดงอุน สหายรักของซอกจิน โยจองมีน้ำใจงามและคอยช่วยเหลือเขาในยามยากเสมอ
มีครั้งหนึ่งที่โยจองพลั้งเผลอหลุดปากพูดราคาผ้าแพรที่นำมาใช้ตัดชุดนอนของเขาเมื่อวันชูซอกว่าราคาแพงจนแทบจะซื้อร้านเนื้อได้สักร้าน นอกจากนี้ยังมีกำไลและเครื่องประดับมากมายที่นับไม่ถ้วนตั้งแต่เขาอยู่ในฐานะภรรยาของกวีเอก
เดิมทีทางครอบครัวของซอกจินเองก็มีฐานะร่ำรวยเพราะมารดาค้าจินดา ขณะที่บิดาของเขาเป็นมหาดเล็กรับใช้องค์ราชาอยู่ในวัง ทว่าเจ้าตัวกลับชื่นชอบการต่อบทกลอนพาทีจึงเป็นที่มาของอาจารย์ซอกจินที่ใครต่างก็พากันกล่าวขานจนกระทั่งทุกวันนี้
ตัวของแทฮยองเองนั้นเป็นเพียงเครื่องบรรณาการที่ถูกส่งมา เขายังจำได้ดี ในวัยยี่สิบปีนั้นเขาต้องจากบ้านมาอยู่ต่างเมืองทั้งยังต้องมาอยู่กับคนแปลกหน้า ในช่วงสองปีแรกแทฮยองได้รับอุปถัมภ์มาไว้ในความคุ้มครองขององค์ชายตามประสงค์ หากแต่องค์ชายเห็นดีเห็นงามว่าเขาควรจะมีสามีที่คู่ควร
ไฉนหนึ่งในคณะกวีที่องค์ชายที่โปรดปรานจึงถูกเลือกให้มาเป็นสามีของเขาเสียได้ ทั้งยังเป็นพ่อกวีที่เขาหลงใหลได้ปลื้มเสียด้วย หลายครั้งที่องค์ชายจะเรียกคนเหล่านี้ขึ้นตำหนักและแต่งกลอนให้อ่าน หากว่ากระดาษทั้งหมดยังไม่ถูกทำลายคงจะนำมาสร้างบ้านได้เป็นหลัง
คำโบราณกล่าวเอาไว้ว่าคารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง แล้วอย่างซอกจินเล่า สมบูรณ์พร้อมทั้งรูปและคารมไม่เป็นสองรองใคร ภาษาที่ผ่านการกลั่นกรองช่างคมคายเสียจนแทฮยองถลำลึกมากเข้าไปทุกที
ถึงกระนั้นก็ตาม บุรุษที่แทฮยองปลื้มนักหนากลับสาดวาจาทำร้ายใจกันตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าองค์ชายยกเขาให้เป็นภรรยาของซอกจินเอง แทฮยองพร่ำย้ำเตือนตนเองเป็นรอบที่ร้อยของวันว่าซอกจินทำไปนั่นก็เพราะคำสั่งขององค์ชาย หาใช่ใจของเขาอย่างที่ปากว่า แต่อีกใจลึก ๆ ก็ยังขอหวังให้สิ่งที่สามีเพิ่งเอ่ยมานั้นเป็นความจริง
ตะวันลาลับขอบฟ้าไปได้เพียงแค่อึดใจเดียว ซอกจินก็เดินเท้ากลับมาถึงรั้วบ้านพอดี แทฮยองพลันหลุดออกจากห้วงแห่งความคิดก่อนจะผุดลุกเข้าบ้านไม่ได้คอยต้อนรับสามีอย่างเช่นเคย
ร่างบางตรงไปยังห้องอาบน้ำก่อนจะปล่อยใจไปตามกระแสน้ำที่วนอยู่ภายในอ่างขนาดใหญ่ นี่เป็นเพียงประสงค์เดียวของแทฮยอง เขาไม่เคยร้องขอสิ่งใดนอกจากการอาบน้ำที่สบายกายและใจเช่นนี้ แต่วันนี้คงจะต่างไปจากทุกวันเสียแล้ว
"ซอกจิน ท่านเข้ามาทำไม"
"สามีที่ดีควรถูหลังให้ภรรยา เจ้าเห็นด้วยหรือไม่"
"ถูหลังน่ะข้าพอจะเข้าใจ แต่เหตุใดท่านจึงเปลื้องผ้าจนเหลือเพียงกางเกงเช่นนี้"
"อย่าได้ใส่ใจข้า หากเจ้ารู้สึกไม่ดี ข้าเพียงแค่ขอถูหลังให้เจ้าเท่านั้น"
"ข้าขอบคุณน้ำใจท่าน แต่ข้าทำเองได้"
"ตอบรับน้ำใจสามีอย่างข้าไว้เถิดหนา"
แทฮยองรู้สึกขนอ่อนด้านหลังคอลุกชันพร้อมกัน ไม่ใช่น้ำอุ่นในอ่างนี่หรอกแต่เป็นเพราะสายตาคู่นั้นที่จ้องมองบนเรือนร่างเขาต่างหากล่ะ ร่างสูงสืบเท้าเข้าใกล้อ่างน้ำก่อนจะคุกเข่าลงข้างกัน สายตาไล่ไปตามเส้นผมดำขลับที่เปียกแนบลู่ไปกับใบหน้าได้รูป จมูกโด่งรั้นและพวงแก้มเนียนที่ตนไม่เคยสัมผัส ริมฝีปากหยักเผยอออกเล็กน้อยในยามที่เขาใช้ปลายนิ้วแตะลงไป ช่างเป็นตำแหน่งที่น่าฝากรอยจูบของเขาเอาไว้เสียเหลือเกิน
"ท่านห้ามมองลงมาในอ่างเด็ดขาด"
"เหตุใดเล่า เพราะเจ้าแก้ผ้าอย่างนั้นหรือ" ซอกจินยิ้มมุมปากแล้วแสร้งจะหลุบตามองต่ำ ทว่าสองมือสวยกลับคว้าใบหน้าของเขาขึ้นมาหากันก่อนที่สายตาเจ้ากรรมจะก้มลงมองจริง ๆ
"หากท่านเพียงแค่อยากถูหลังให้ข้าจริงก็ปลดผ้าที่โพกอยู่บนเอวท่านออกมาปิดตาเสีย"
"ข้าเป็นสามีก็มองเรือนร่างเจ้ามิได้งั้นหรือ"
"ไม่! หากข้าไม่อนุญาตก็ห้ามมองเด็ดขาดเลย" สีหน้าจริงจังของภรรยากลับทำให้ซอกจินแย้มยิ้มออกมาได้เสียอย่างนั้น
"ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าผูกผ้าปิดตาให้ข้าจะได้หรือไม่"
คนโตกว่าปลดผ้าพันเอวออกก่อนจะยื่นมันให้กับภรรยา เพียงเสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกันก็ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านทั่วตัวจนแทฮยองต้องรีบดึงมือตนเองออกห่าง สายตาที่จ้องมองมาก็ยังไม่ต่างไปจากเดิมนัก อ่านยากและคาดเดาไม่ถูกเลย
เมื่อซอกจินไม่ยอมหันหลังกลับไปเสียที แทฮยองจึงต้องรีบผูกผ้าปิดตาทั้งที่เจ้าตัวยังมองสำรวจใบหน้าหวานของตนเองอยู่ทันที ทว่าหลังจากที่เขาผูกผ้าเรียบร้อยข้อมือเล็กก็ถูกคว้าเอาไว้ให้แนบไปกับแก้ม ซอกจินอาศัยสัมผัสทางกายแทนดวงตาอย่างที่เขาทำ ปลายจมูกแนบไปกลางฝ่ามือแทนแก้มก่อนจะเปลี่ยนเป็นริมฝีปากอิ่มที่สัมผัสเบา ๆ ลงบนนั้น
"ท่านทำสิ่งใดกัน ไหนบอกว่าจะแค่ถูหลังให้เท่านั้น"
"เนื้อกายเจ้าหอมยิ่งกว่าบุหงายามราตรีเสียอีกแทฮยอง ต่อให้เกสรจะส่งกลิ่นหอมแข่งกับเจ้าเพียงใดก็พ่ายแพ้"
"ท่านชอบเปลี่ยนเรื่องนัก"
"ส่งใยบวบให้ข้าสิ หรืออยากให้ข้าใช้สิ่งอื่นถูหลังให้เจ้าแทน"
แทฮยองรีบส่งใยบวบให้ถึงมือเขาทันที เจ้าตัวมองผ้าผูกตาอีกครั้งว่าปิดแน่นแล้วหรือไม่ เมื่อมั่นใจแล้วจึงหันหลังให้เขาแล้วเอ่ยปากให้ซอกจินเริ่มถูหลังได้ แปลกแต่จริง น้ำหนักมือที่จับพู่กันเขียนกลอนมาโดยตลอดนั้นลงน้ำหนักมือได้อย่างพอดีบนแผ่นหลังของแทฮยอง จากไหล่ด้านขวาไปจนถึงกลางหลังและไหล่ซ้ายอย่างอ้อยอิ่ง
คนเด็กกว่าพริ้มตาหลับลงเพราะความสบายตัวโดยหารู้ไม่ว่าสามีเจ้าเล่ห์แอบเอาผ้าปิดตาลงเสียแล้ว ทว่าเขาไม่ได้หลุบตามองต่ำอย่างว่า เพียงแต่มองแผ่นหลังเนียนของภรรยา ซอกจินจำได้ว่าช่วงที่แต่งงานกันใหม่ ๆ เขาเผลอประตูเข้าห้องเพราะความเคยชินที่เป็นชายโสดมาโดยตลอด แต่เวรกรรมของใครไม่ทราบ แทฮยองกำลังผลัดผ้าอยู่ภายในห้องพอดิบพอดี เรือนร่างบอบบางยังติดตราตรึงใจเขามาจนถึงตอนนี้ ทว่าวันนี้ เวลานี้เขากลับได้สัมผัสผิวกายเนียนและหอมเสียจนทำให้โลกของเขาแทบจะหยุดหมุนได้
ใยบวบหล่นลงไปในน้ำ เหลือเพียงมือเปล่าที่กำลังสัมผัสอยู่บนแผ่นหลัง ก่อนที่มันจะตามมาด้วยสัมผัสอุ่น ๆ จากริมฝีปากอิ่ม แทฮยองสะดุ้งตัวเล็กน้อย เมื่อซอกจินกำลังกดจูบไหล่ของเขา ผ้าผูกเอวที่เลื่อนหลุดไปถึงคอไม่อาจปกปิดสิ่งใดได้อีกต่อไป
"ให้อภัยข้าด้วย ใยบวบหลุดมือไปเสียแล้วข้าจึงต้องใช้สิ่งอื่นมาถูหลังเจ้าแทน"
"จิน..."
สัมผัสแผ่วเบาแต่กลับทำให้ใจของแทฮยองเต้นไม่เป็นส่ำ ริมฝีปากอิ่มกดจูบจากไหล่บางไล่มาจนถึงหลังคอ เนิ่นนานเหลือเกินที่เขาปล่อยให้คนเป็นสามีได้ทำตามใจต้องการ
"เหตุใดเจ้าจึงไม่ปฏิเสธข้าดั่งเช่นทุกครั้ง"
"ข้า...ตกใจ"
"ตกใจแต่เอียงกายเข้าหาข้าเช่นนี้หมายความว่าอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจ" เสียงทุ้มต่ำกระซิบอยู่ข้างหู แทฮยองเงอะงะกว่าเดิม เพียงแค่บังคับลมหายใจไม่ให้ติดขัดยังทำได้ยาก
"ร่างกายข้าไม่ได้ตอบรับสัมผัสของท่าน อย่าได้ตีความผิดไปเชียว" แทฮยองถอยออกห่างพลางนั่งกอดเข่าอยู่ในอ่างน้ำนั่น
"กายเจ้าไม่ได้ตอบรับข้าแล้วใจของเจ้าเล่า"
"ข้าขอให้ท่านหยุดคิดเรื่องนี้เสียเถิด ข้าไม่นิยมชมชอบกับการสัมผัสกันเช่นนี้หากว่าภายในใจมิได้มีความรู้สึก"
"ใครบอกว่าข้าไม่มี"
"ข้านี่ไง ข้าไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น"
"เจ้ายังโกรธข้าใช่หรือไม่ แทฮยอง"
คนเป็นภรรยาทำเชือนแช มองออกไปนอกหน้าต่าง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ดาวกำลังตกลงสู่พสุธา ยากเหลือเกินที่ในชีวิตนี้จะได้เห็นสิ่งสวยงามและคำโบราณแต่ก่อนเก่ามักเชื่อกันว่าหากอธิษฐานสิ่งใดแล้วมันจะเป็นจริง แทฮยองกัดริมฝีปากตนเองแน่น พลางอ้อนวอนขอแก่เทพยดาทั้งหลาย เพียงแค่ขอให้ผู้เป็นสามีรักเขาด้วยใจจริง มิใช่เพียงหน้าที่
"ไม่ยักรู้ ถ้าข้าโกรธแล้วท่านจะใส่ใจด้วยหรือ"
"ข้าก็ไม่ยักรู้มาก่อนว่ามีเมียเด็กกว่าจะเอาใจยากขนาดนี้"
"หากข้ารู้ว่าต้องแต่งกับคนที่เคยดูแคลนข้ามาก่อนจะลูบหลังเช่นนี้ข้าก็คงชั่งใจหนักกว่านี้เป็นแน่"
"จะมีครั้งใดหรือไม่ที่เจ้าจะยอมอ่อนให้ข้าบ้าง" ซอกจินใช้น้ำเสียงนุ่มนวลลงกว่าครั้งไหน ๆ
"วันใดวันหนึ่งแต่มิใช่ในเร็ววันนี้เป็นแน่ นี่! ท่านจะทำอะไร ลงมาในอ่างทำไม" คนตัวเล็กกว่าโวยวายลั่นพลางจะผลักไหล่กว้างออกห่าง ทว่าช่วงขาก็พยายามกระมิดกระเมี้ยนปิดเต็มความสามารถทำให้อะไรก็ไม่เป็นดังใจ
"ข้าอยากอาบด้วย อาบพร้อมกันจะได้ไม่เปลืองน้ำ"
"ครั้งนี้พูดเรื่องเปลืองเปล่า หากท่านหันไปมองห้องของข้าเสียบ้างจะรู้ว่าเครื่องประดับและเสื้อผ้ามากมายที่ท่านซื้อให้นั่นแพงกว่านี้หลายเท่า"
"ข้ารู้ดี ข้าจึงอยากให้เจ้า"
"ถึงท่านจะเอาเพชรนิลจินดามากมายมากองไว้ตรงหน้าข้าก็ไม่มีทางหายโกรธท่าน โปรดลุกออกไปได้แล้ว ข้าจะอาบน้ำผลัดผ้า หากท่านต้องการใช้อ่างต่อข้าจะเตรียมน้ำเอาไว้ให้"
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าจะไปหามาให้"
"หากข้าต้องการดวงจันทร์นั่นล่ะ ท่านจะนำมาให้ข้าได้หรือไม่"
แทฮยองเชิดหน้าชูคอดั่งเช่นเด็กที่คิดว่าตนเหนือกว่า ทั้งยังมิวายต่อปากกับผู้เป็นสามีอย่างไม่ลดละ มีหรือที่ซอกจินจะไปคว้าดาวคว้าเดือนมาให้ได้ ต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็ไม่มีวัน
"นวลน้องต้องประสงค์สิ่งใดขอให้บอก พี่จักออกไปหามาให้เจ้า แม้นดาราทิวากรพอทำเนา หากแต่เขลาไม่เคยคว้าดวงกมล"
"..."
"บุษบาบุษบงจำนงรัก สุดจะหักห้ามใจมิให้หลง พี่มันเง่าแสนจะโง่สุดจะปลง นวลอนงค์โปรดอภัยให้กันเถิด"
"..."
"ครั้นพี่เปรียบฤดีดั่งดวงแข เจ้าจะแลมาที่พี่บ้างไหมหนา พี่รักเจ้าหลงเจ้าดังแก้วตา เจ้ากานดาพี่ยกใจให้เจ้าเอย"
คนฟังเขินม้วนจนเก็บอาการไม่อยู่แก้มทั้งสองข้างแดงไม่ต่างจากชาดที่เคยใช้ทาบนริมฝีปากในวันแต่งงาน ทั้งใบหน้ายังเห่อร้อนลามไปจนถึงใบหู ฝ่ามือบีบเข้าหากันอย่างลืมตัว เพียงแค่การต่อปากต่อคำหวังเอาชนะ ไฉนแทฮยองจึงเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้เสียเองได้เล่า
"ข้ามิได้เป็นคนที่หลงใหลไปกับกลอนของท่านหรอก"
"ไม่หลงกลอนของข้า แต่หลงข้าใช่หรือไม่ หืม"
"ท่านคารมแพรวพราวเช่นนี้คงมีคนหลงเสน่ห์ท่านไม่น้อย"
"ท่ามกลางหมู่ดาวพร่างพราวบนนภา พี่เพรียกหาเพียงเจ้าใช่ใครอื่น วันทั้งวันพี่เฝ้านับวันคืน ทนกล้ำกลืนนวลน้องไม่เห็นใจ แม้นใครเฝ้าเกี้ยวพี่พี่ไม่สน มิใช่คนหลายใจอย่างใครหนอ ทั้งคารมรูปหล่อคงไม่พอ คงต้องขอร่ายมนตร์รักใส่เจ้าเอย"
แทฮยองไม่ตอบสิ่งใดกลับเพราะเจ้าตัวถูกต้อนจนสุดทาง ไม่เพียงแต่ถูกต้อนด้วยคำพูด หากแต่ทางกายก็ยังคงถูกต้อนให้จนอยู่ในกรงแขนของผู้เป็นสามีเสียด้วย ยิ้มที่ใครต่อใครประทับใจ ในเวลานี้ถูกส่งมายังแทฮยองแต่เพียงผู้เดียว ยิ้มกว้างไปถึงดวงตา ยิ่งได้พิศมองใบหน้าเจ้าเสน่ห์ใกล้ ๆ ก็ยิ่งทำให้แทฮยองลุ่มหลงไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะน้อยใจซอกจินมากเพียงใด สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับเขาร่ำไป
"เจ้ารู้หรือไม่แทฮยอง เมื่อข้านึกย้อนกลับไปในวันวาน ข้าอิจฉาทุกคนที่เจ้าส่งยิ้มให้ ข้าอิจฉาแม้กระทั่งชาดที่อยู่บนปากเจ้า"
"ท่านจะอิจฉาชาดด้วยเหตุใดกัน"
"ชาดทาปากให้เกิดสีแดงระเรื่อได้ฉันใด ปากข้าก็ทำให้ปากของเจ้าแดงระเรื่อได้ฉันนั้น แทฮยอง"
"อือ"
ซอกจินค่อย ๆ ประทับริมฝีปากอิ่มลงบนส่วนเดียวกันกับที่เขาต้องการจะทำให้แดงดั่งชาดตามที่กล่าวไว้ ดวงตากลมโตเบิกโพลงชั่วครู่เพราะความตกใจ สองมือยกขึ้นหวังจะผลักไหล่กว้างออกห่าง ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
ร่างสูงเบียดกายใกล้ชิดพร้อมทั้งบดริมฝีปากเข้าหามากขึ้น แรงดูดเม้มเบา ๆ ทำให้แทฮยองเผยอรับจูบนั่นอย่างเป็นธรรมชาติ แรงผลักแปรเปลี่ยนเป็นแรงบีบที่หัวไหล่ ขณะที่ดวงตาตื่นกลัวกลายเป็นแววตาที่โอนอ่อนแลดูล่องลอยดั่งใจเจ้าของ
เกิดมาจวบจนอายุปานนี้ หากแต่จูบเช่นนี้แทฮยองก็ยังไม่เคย ครูมิอาจสั่งสอนเรื่องทำนองนี้เห็นทีว่าจะถูกสามีตำหนิอีกครั้ง แต่กลับกันโดยสิ้นเชิง นอกจากจะไม่ว่ากัน เขายังสอนจูบให้ภรรยาเสียด้วย แทฮยองเผยอปากรับริมฝีปากอิ่มที่ค่อย ๆ ป้อนจูบสลับกับการสอดเรียวลิ้นเข้ามาเลียไปตามแนวฟันและริมฝีปากหยักให้ฉ่ำจนน่าขบกัดให้แดงระเรื่อ
คนเด็กกว่าเปิดปากรับเรียวลิ้นของเขาเข้ามาช้า ๆ ทันทีที่ความสัมผัสชื้นและหวานละมุนนั้นแตะต้องกัน แทฮยองก็ได้แต่ปล่อยให้ร่างกายตอบรับทุกช่วงจังหวะอารมณ์ ดวงตาทั้งคู่หลับพริ้มในยามที่เรียวลิ้นสีสดพันกระหวัดอยู่ในโพรงปากของอีกคน ซอกจินดูดดึงปลายลิ้นภรรยาเมื่อใด มือสวยที่วางบนไหล่ก็ยิ่งออกแรงบีบราวกับเป็นการเอ่ยคำยินดีตอบรับ
น้ำหวานที่เชื่อมจากริมฝีปากของทั้งคู่ยืดขาดออกจากกันช้า ๆ ในแววตาของแทฮยองบัดนี้ช่างหวานฉ่ำปานน้ำผึ้งเดือนห้าที่ใครเล่าขาน มันกำลังสะท้อนภาพของคนที่หลงรักเสมอมา ขณะเดียวกันซอกจินก็ไม่สามารถปกปิดความในใจตนได้อีกต่อไป ทั้งคู่กำลังดำดิ่งไปกับความรู้สึกที่มอบให้กันและกัน
ปลายนิ้วคลึงสัมผัสบนริมฝีปากที่แดงฉ่ำเพราะแรงบดจูบเมื่อครู่ก่อนเขาจะถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง ซอกจินอยากจะจูบให้ช้ำ จูบให้ภรรยาตัวเล็กของเขาร้องขอไม่มีวันสิ้นสุด
"แทฮยอง...ข้าเป็นจูบแรกของเจ้า"
"ท่านขโมยมันไปจากข้าเสียแล้ว"
"..."
"ขโมยไปจากข้าทั้งหมดเลย"
"อย่างไร ข้าขโมยสิ่งใดของเจ้าไปอีกอย่างนั้นหรือ"
"ท่านกวีฝีมือเอกก็ลองเดาใจข้าดูสิ ลองเดาใจภรรยาของท่านดู"
สองปีนับจากแต่งงาน ซอกจินค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเขานั้นแทบจะไม่เคยได้ยินแทฮยองแทนตนเองว่าภรรยาของเขานัก หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็จะไม่มีทางได้ยินคำนี้เลย
"หากว่าดวงจันทร์นั้นเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์แล้ว เจ้าจักมอบดวงตะวันให้กับข้าบ้างได้หรือไม่"
"..."
"มอบรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นดั่งตะวันในยามอรุณเบิกฟ้า มอบกอดที่ทำให้ใจของข้าไม่เปล่าเปลี่ยวอีกต่อไปได้หรือไม่ แทฮยอง"
ซอกจินกุมมือภรรยาไว้หลวม ๆ ใต้ผืนน้ำ ทว่าในเวลานี้เขาไม่แม้แต่จะรวบรวมความกล้าที่จะมองเข้าไปในดวงตาที่ชวนฝันเพราะกลัวเหลือเกินว่าจะถูกปฏิเสธ มือคู่สวยที่ถูกกุมไว้เคลื่อนออกช้า ๆ ยิ่งทำให้ซอกจินนั้นใจกระตุกวูบ
แต่นั่นไม่ใช่การผลักไสกันแต่อย่างใด แทฮยองประคองใบหน้าเจ้าเสน่ห์ขึ้นมาสบตาก่อนจะผลิยิ้มที่สดใสเกินกว่าใครจะเทียบได้ให้เขาตามที่อ้อนขอ พร้อมกับสวมกอดเอาไว้ ความรู้สึกที่แปลกใหม่แล่นพล่านไปทั่วกายอุ่นที่กอดตอบกัน
"ท่านเอาใจออกจากห่างจากข้ามิได้ฉันใด ข้า ภรรยาของท่านก็เอาใจออกห่างมิได้ฉันนั้น ซอกจิน" เจ้าของนามนั้นยิ้มจนตาหยี หากตอบว่าสิ่งใดที่ทำให้เขายิ้มได้ขนาดนี้คงเป็นเรื่องนี้อย่างไม่ต้องคิดซ้ำสอง
"ข้าขอยืนยันคำพูดที่เคยบอกว่าเจ้าไม่น่าเอ็นดูอย่างใครเขา เพราะเจ้านั้นน่ารักน่าเอ็นดูกว่าคนพวกนั้นเป็นหลายเท่า"
"อะ ท่านจะอุ้มข้าไปไหนกัน ข้ายังไม่ได้สวมชุดเลย"
คนน่ารักน่าเอ็นดูถูกอุ้มขึ้นมาจากอ่างน้ำ ฝ่ามือยกขึ้นปิดของสงวนแทบไม่ทัน ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากของสามี ร่างบางถูกวางบนเก้าอี้ตัวเล็กเพื่อเช็ดตัวและสวมชุดคลุม ตอนนั้นเองที่แทฮยองเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ากางเกงของซอกจินมันร่นไปจนถึงหน้าขาเพราะผ้าผูกเอวไม่ได้ทำหน้าที่ของมัน แทฮยองรู้สึกใบหน้าเห่อร้อนแดงลามไปจนถึงใบหู
"มองเช่นนี้ไม่เคยเห็นหรืออย่างไร" ซอกจินแกล้งบีบปลายจมูกคนเด็กกว่าให้หายมันเขี้ยว ถึงจะเขินอายทว่าเจ้าตัวก็ยังทิ้งสายตาไว้กลางกายของซอกจินอยู่นานสองนาน
"ข้าจะไปเคยเห็นได้อย่างไรกัน ไม่ใช่พวกถ้ำมองเสียหน่อย!"
"แต่เมื่อครู่เจ้ามองของข้าไม่วางตาเลยหนา"
"ท่านก็มองข้าตาไม่กะพริบหรอก ข้าเห็นนะ"
"บุปผางามพริ้งอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าจะละสายตาได้หรือ ข้ามิใช่พระชีเสียหน่อย"
ซอกจินหัวเราะสบายอารมณ์ แทบจะไม่มีช่วงเวลาเช่นนี้เกิดขึ้นในชีวิตแต่งงาน ช่วงเวลาที่สามีภรรยาได้หยอกล้อกันพร้อมกับรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้า เผลอสบตาเข้าหน่อยใบหน้าก็พลอยจะดึงดูดเข้าหากันอย่างอ้อยอิ่ง ราวกับมีประกายดาวนับแสนดวงพร่างพราวในแววตา ยากที่จะละสายตาออกได้ ซอกจินคลอเคลียไปตามพวงแก้มที่แดงซ่านแลดูน่ารัก ริมฝีปากกดจูบปลายจมูกรั้นแสดงความเอ็นดู รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากก่อนจะส่งจูบไปตามแนวกรอบหน้าไล้โลมไปจวนจะถึงไหปลาร้าตรงสวย
"สองมือเจ้าหมดแรงแล้วหรือ ไฉนจึงไม่ผลักข้าแล้วล่ะ เหตุใดเอาแต่กำชายเสื้ออยู่เช่นนั้น"
"ท่านจะทำอะไร"
"เม็ดทรายที่ว่าคณานับ ยังไม่เท่ากับความปรารถนาที่ข้ามีต่อเจ้าเลย แทฮยอง"
"จิน..."
"หากข้ากอดจูบมากกว่านี้เจ้าจะยินยอมหรือไม่"
"..."
"จูบตรงนี้ได้หรือไม่ ตรงนี้ล่ะ"
"อื้ม"
ซอกจินกดจูบที่ซอกคอหอม ไปจนถึงหน้าอก หน้าท้องแบนราบหดเกร็งเล็กน้อยในยามที่ริมฝีปากอิ่มจูบบนผิวกาย สัมผัสทั้งนุ่มละมุนและชวนฝัน ทว่าแทฮยองไม่กล้าหลุบตามอง ได้แต่กัดริมฝีปากตนเองไว้แน่น สองมือกำเกร็งช่วงชายเสื้อคลุมจนยับยู่ยี่
"แล้วถ้าเป็นตรงนี้ข้าจะจูบจนแดงเหมือนปากเจ้าได้หรือไม่"
"อื้อ อย่านะ"
"หืม มันชักจะเริ่มเรียกร้องความสนใจแล้วหนา"
"ท่านเอาแต่พูดเรื่องน่าอาย"
"ข้ามิเพียงแต่พูดหรอก ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกด้วย"
สามีแสนเจ้าเล่ห์ถามเชิงหยอกเย้าเรียกเลือดฝาดขึ้นหน้าภรรยาตัวเล็กของเขาไม่หยุด ก็ตรงนี้ที่เขาว่าน่ะทั้งอ่อนไหวและชวนใจหวิวเหลือเกิน อุตส่าห์นั่งปิดมาตั้งนาน เพียงได้รับสัมผัสวาบหวาม มือเจ้ากรรมก็ลืมปกปิดไปเสียได้ น่าอายยิ่งนัก
"ขืนเจ้าเขินอายเช่นนี้จะไม่มีลูกเอานะ"
"ใครบอกท่านว่าข้าอยากจะมีลูก"
"แล้วใครหนอหอบเอาความสงสัยไปถามโยจองถึงบ้านเขา แถมบอกว่าเห็นทารกตัวแดง ๆ ก็อยากจะมีเป็นของตนบ้าง"
"..."
"ข้าช่วยเจ้าได้เสมอ เจ้าอยากได้สักครอกข้าก็ทำให้ได้"
"นี่! ข้าเป็นคน หาได้เป็นแมวที่ไหน"
"หากได้แม่พันธุ์ดีมีหรือจะมีลูกเป็นของตนเองสักสิบคนไม่ได้"
"ใครบอกว่าข้าจะมีลูกกับท่านสิบคน ขี้โม้โอ้อวดเสียจริง"
"โบราณว่าไว้แม่พันธุ์สะโพกกลมกลึงจับแล้วล้นมือ"
"อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ อ๊ะ" ร่างบางผวาส่งเสียงร้องตกใจ เลื่อนมือขึ้นมาบีบไหล่กว้างทันทีเมื่อฝ่ามือใหญ่กอบกุมก้อนสะโพกทั้งสองแล้วออกแรงขยำให้หนำใจ
"เชื่อเถิดว่าลูกของเจ้าที่จะเกิดกับข้าจะมีพร้อมทั้งฐานะ การศึกษาและรูปโฉม ข้ามีให้ทั้งหมด"
"ข้าเชื่อทุกสิ่ง แต่ที่บอกว่ารูปโฉมนั่นจะบอกว่าท่านรูปงามงั้นสิ หลงตัวเองเหลือเกิน"
ราวกับท้าทาย ซอกจินยื่นใบหน้าเข้าใกล้เสียจนปลายจมูกแทบแตะกัน รอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความพอใจเมื่อเห็นภรรยาตนเองเขินจนไปต่อไม่เป็น ได้ทีเขาก็ฉวยโอกาสกดจูบอีกครั้งและอีกครั้ง
"หากคืนนี้บรรพบุรุษเห็นใจ โปรดส่งบุตรที่พร้อมด้วยบุญญาธิการมาเกิดในท้องของแทฮยอง เมียสุดที่รักด้วยเถิด พี่สัญญาว่าจะเลี้ยงดูเจ้าและลูกเป็นอย่างดี"
ทั้งเสียงนุ่มทุ้มพาใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำและถ้อยคำละมุนหูแลชวนเขินอายเอ่ยต่อหน้า แล้วแทฮยองจะทำอย่างไรได้เล่า ซอกจินส่งยิ้มให้ก่อนจะมอบรสจูบที่ต่างออกไป เรียวลิ้นสอดเข้ามาในโพรงปากช้า ๆ เก็บเกี่ยวความหอมหวานไปเสียหมด ฝ่ามือเลื่อนขึ้นมาเคล้นคลึงเอวคอดลากไล้ขึ้นมาจนถึงอก ปลายนิ้วลูบวนก่อนจะขยี้ที่ยอดอกเบา ๆ
แทฮยองเริ่มรู้สึกปวดหนึบขึ้นมาที่กลางกายเมื่อซอกจินรุกจูบจนเสียงน่าอายเล็ดลอดออกมา ทั้งมือที่ลูบสัมผัสไปทั่วกายลงต่ำไปยังแก่นกายที่เริ่มตื่นจากฝัน ฝันที่ว่าคงไม่มีวันที่ชายผู้เป็นที่รักจะแสดงความรักต่อหน้าอย่างใจจริง ร่างกายเริ่มดิ้นเร่าเล็กน้อยจนสาบเสื้อคลุมหล่นไปกองอยู่ที่ศอกเผยไหล่บางน่าสัมผัส ร่างสูงผละจูบออกก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหัวไหล่ภรรยาทั้งสองข้าง
แทฮยองรู้สึกว่าความคิดมันเริ่มฟุ้งไปทั่วจนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อริมฝีปากอิ่มที่จูบกันเมื่อครู่กลับจูบลงบนปากล่างเขาเสียแล้ว ฝ่ามือสวยขยำลงบนลาดไหล่สามีเพื่อระบายอารมณ์ ใบหน้าเชิดครางหอบกระเส่า เรียวขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาวางพาดบนไหล่กว้าง ปลายเท้าจิกเกร็งผิดรูปในยามที่ซอกจินห่อปากดูดรับเอาแท่งเอ็นนั่นเข้าไปจนหมด
"อื้อ"
"แดงหมดแล้ว ทั้งหน้า ทั้งตัวและส่วนนี้ของเจ้าก็แดงไปหมด"
"เขาทำกัน อะ เช่นนี้หรือ ทำไมมันวูบวาบไปทั้งตัวเลย"
"ให้พี่ได้พาเจ้าไปยังที่ที่เจ้าฝันถึงเถิดหนา"
คนที่กำลังถูกปรนเปรอเป็นครั้งแรกเอามือหนึ่งปิดหน้าที่เห่อร้อนของตนไว้ อีกข้างก็พยายามจะดันไหล่กว้างออกเพราะความรู้สึกตีรวนในช่องท้องจนอยู่ไม่สุข แทฮยองรู้สึกเสียดเสียวจนสมองขาวโพลนพูดแทบไม่เป็นคำเอาเสียเลย
"ปิดหน้าเจ้าไว้แล้วข้าจะเห็นความงามยามที่เจ้ากำลังจะขึ้นสวรรค์หรือ เปิดออกเถิด พี่อยากชื่นชม"
ซอกจินดึงมือสวยออกจากใบหน้าแล้วส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มไปให้ ทำให้คนมองยิ่งเขินเป็นเท่าทวีคูณ เขาใช้มือแทนปากไปพลางก็หยอกเย้าด้วยวาจาไปพลางจนภรรยาอายไม่ไหว มุมปากอิ่มยกยิ้มได้ใจก่อนจะส่งเรียวลิ้นไปหยอกล้อกับยอดอกที่ชูชันอยู่ตรงหน้า ร่างบางดิ้นไปมาเพราะแรงอารมณ์กำลังไต่ไปจนถึงขีดสุด
"อย่าแกล้ง อ๊ะ จะทำทั้งข้างบนทั้งข้างล่างเลยหรือ"
"อืม"
"ฮึก"
"ร้ายจริง ๆ แอ่นอกเข้าหาข้าทั้งที่ปากบอกว่าไม่ เมียเด็กนี่เอาใจยากเสียจริง"
ต่อมาก็ได้ยินเสียงครางยาวเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างบางขาสั่นควบคุมไม่ได้ ของเหลวค่อย ๆ ไหลซึมออกมาหยดเปื้อนหน้าขาตนเอง ดวงตากลมโตปรือมองผู้เป็นสามีที่กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
"ขาสั่นเลยหรือ พี่ยังมิได้ทำลูกกับเจ้าเลย"
"ก็ท่านรังแก"
"รังแกอะไรกัน หืม พี่ก็เห็นว่าเจ้าตอบรับดี ชอบก็บอกว่าชอบเถิด"
"ฮือ ทำแบบนี้แล้วในอกข้ามันจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว" ซอกจินเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยด้วยความเอ็นดู คนไม่เคยจะได้คุ้นชินได้อย่างไรกัน
"เท่านี้ก็งอแงเสียแล้วหรือ"
"ฮึก" แทฮยองซุกลงกับอกของร่างสูงเพื่อหวังจะซ่อนความเขินอาย ทว่ากลับก้มลงไปเห็นแก่นกายที่ยังตั้งตรงน่าอายกว่าเก่า
"คนอะไร งอแงได้น่าเอ็นดูเหลือเกิน เจ้างอแงแบบนี้ให้พี่เห็นคนเดียวได้หรือไม่"
"อื้อ ไม่ได้งอแง" ภรรยาตัวเล็กในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นมาแล้วเบะปากใส่ทำตาละห้อย แล้วเช่นนี้จะให้ซอกจินไม่รักไม่หลงได้อย่างไรกัน
"พี่รักเจ้า แทฮยอง"
"..."
"พี่รักเจ้า"
แรงปรารถนาไม่มีวันที่จะดับมอดไปง่าย ๆ กายทั้งสองร้อนดั่งเอาไฟสุมในยามที่บดเบียดเข้าหากันอย่างลืมอาย หยาดเหงื่อและน้ำลายหวานใสที่แลกกันยากที่จะแยก ลมหายใจผสานเป็นหนึ่งเดียวแลเสียงหอบกระเส่าดังระงม
สรรหาท่าจะเล่นแม้ไปไม่ถึงฟูกนอน แรงอารมณ์สาดซัดพาทั้งคู่ลงอ่างอีกครั้งแล้วเบียดกายจนแนบชิด แก่นกายเข้าไปกระแทกจุดกระสันเสียวจนร่างบางหายใจแทบไม่ทัน ขณะที่กลางกายของซอกจินก็ปวดหนึบจนเกินจะอั้นไหว เมื่อภายในตัวของภรรยาเขาตอดรัดถี่รัวจนสมองเบลอไปหมด
น้ำรักถูกฉีดเข้าไปภายในกายจนคนรับเจ้าสิ่งนั้นรู้สึกถึงมันได้ เมื่อร่างสูงถอนกายออก ความวูบโหวงที่ช่องด้านหลังก็เข้ามาแทนที่ทั้งที่มันยังบีบรัดไม่เป็นจังหวะอยู่
แทฮยองหมดแรงจะล้างเนื้อตัวได้แต่ปล่อยให้อีกคนได้ดูแลประดุจเจ้าหญิงในวังหลวง ซอกจินอุ้มภรรยาที่จับสวมผ้าแพรผืนงามมาวางลงบนฟูกอย่างเบามือพลางห่มผ้าให้ถึงเอว ดวงตากลมโตเริ่มปรืออย่างคนเหนื่อยล้าก่อนที่จะซุกเข้ากับแผ่นอกกว้างอีกครั้ง
"ให้อภัยพี่เถิด ครั้งแรกของเจ้าแต่กลับไม่ได้นอนทำให้ดี พาเจ้ายืนเช่นนั้นคงไม่สบายตัว"
"อือ"
"เจ็บหรือไม่"
"ไม่ แต่เหนื่อยเหลือเกิน กว่าจะได้ลูกต้องเหนื่อยแล้วใจเต้นแรงขนาดนี้เลยหรือ" คนฟังอดอมยิ้มกับคำถามไม่ได้
"เหนื่อยแล้วชอบหรือไม่ ที่ทำกันแบบเมื่อครู่นั่นเจ้าอยากทำอีกไหม"
"..."
"หากไม่ตอบข้าจะคิดเองแล้วนะว่าเจ้าชอบ"
"อือ ไม่ตอบให้ได้ยินหรอก"
ซอกจินหัวเราะเริงร่าให้กับก้อนความน่ารักในอ้อมกอด หากมีลูกเขาก็อยากจะให้หน้าเหมือนแม่ เพราะไม่ว่าจะเป็นแพขนตายาวล้อมรอบดวงตาและคิ้วได้รูป จมูกโด่งรั้นช่างน่าทะนุถนอม
"แทฮยอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำลูกกันเพียงครั้งเดียวลูกไม่มาหาเจ้าหรอก"
"หืม แล้วต้องทำกี่ครั้งกัน"
"ต้องทำจนกว่าจะมีนั่นแหละ"
ราวกับเป็นการโกหกที่แนบเนียนที่สุด หวังจะได้เชยชมดอกไม้แรกแย้มในทุกคืนวัน หากได้ลูกชายหรือลูกสาวมาเชยชมนั่นนับว่าเป็นของขวัญล้ำค่า
♤♤♤
อรุณรุ่งจวนมาถึงอีกครั้ง นับแต่คืนนั้นก็ผ่านมาหลายราตรี ร่างบางที่นอนอยู่ในอ้อมกอดของสามีกลับรู้สึกอยากจะอาเจียนตลอดเวลาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน วันทั้งวันซอกจินเข้าหน้าไม่ติดเพราะทำสิ่งใดก็ถูกว่าบ่นจนทำอะไรไม่ถูกและได้ของกำนัลเป็นใบหน้าบึ้งตึงเสียด้วย
"ท่านซอกจิน เหตุใดน้องแทฮยองจึงไม่มาด้วยเล่า" โยจองเอ่ยถามทันทีที่ซอกจินเดินทางมาถึงร้าน
"เหมือนว่าจะไม่สบายนิดหน่อย"
"หืม เมื่อวานก่อนข้ายังเห็นว่าดีอยู่เลย"
"ข้าก็จนปัญญาจะหาเหตุ วันนี้ทั้งวันข้าทำสิ่งใดก็ไม่สบอารมณ์ ทั้งยังพะอืดพะอมกลิ่นนั่นนี่อีก"
"ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าโยจอง" ดงอุนที่เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาวางมือบนไหล่สหายก่อนจะลูบหลังไปมาเบา ๆ
"ใช่ท่านพี่ ตอนนี้ข้าคิดไม่ต่างจากท่านแล้ว"
"มีอะไรหรือ" กวีฝีมือฉกาจแต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนไม่ประสีประสาเรื่องราวเอ่ยถามด้วยความสงสัยเสียเต็มประดา
"ตามหมอไปตรวจดูเมียเจ้าเถิด"
"ร้ายแรงเลยงั้นรึ"
"โถ่ เคยขออะไรไว้กันเล่า ข้าว่าเวลานี้สิ่งที่เจ้าขอประสบผลแล้วซอกจิน ถ้าอยากรู้ก็รีบตามหมอไปที่บ้านเร็ว" ดงอุนเฉลยครึ่ง ๆ กลาง ๆ ขณะที่โยจองกำลังไกวเปลลูกน้อยอยู่ข้างกันหันมาส่งยิ้มให้ทั้งสองคน
"ข้าอยากอุ้มหลานแล้วท่านซอกจินและข้าเชื่อว่าท่านก็อยากจะอุ้มลูกตัวเองแล้วเช่นกัน"
ซอกจินลนลานวิ่งไปที่วังขอยืมตัวหมอหลวงมาทันที เขาได้แต่ยืนรออยู่ด้านนอกขณะที่ภรรยากำลังเข้ารับการตรวจ สองมือกุมเข้าหากันสองเท้าเดินวนไปมาจนดงอุนที่รออยู่ด้วยกันชักปวดหัว
"ซอกจิน นั่งลงก่อน"
"คนมันตื่นเต้นจะให้ข้านั่งก้นติดพื้นได้อย่างไรกัน"
"จะว่าไปข้าจะเตรียมสิ่งใดรับขวัญหลานกัน"
"ทองสักชั่ง เจ้าของร้านผ้าอย่างเจ้าคงไม่เดือดร้อนหรอก"
"หาของรับขวัญหลาน มิใช่หาของไปแต่งเมียอย่างเจ้า จึงจะเอาทองไปตั้งหลายชั่ง ชอบพอแทฮยองตั้งแต่แรกเห็นก็พูดมาเถิด"
"เจ้านี่มันรู้ดีเกินไปแล้ว"
หลังจากที่หมอหลวงออกมาอธิบายอาการที่แทฮยองเป็นอยู่ คนที่กำลังจะกลายเป็นพ่อคนถึงกับทำตัวไม่ถูก มือสั่นหุบยิ้มไม่ได้ เจ้าตัวรุดเข้าไปกอดหอมภรรยาแสนน่ารักในทันที รอยยิ้มเปื้อนหน้ายากจะเลือนหาย สมดั่งใจหวังในที่สุดลูกน้อยก็มาเกิดแล้ว
"ลูกมาแล้ว มาหาเราแล้ว"
"ท่านสัญญาแล้วนะว่าจะดูแลลูกอย่างดี ห้ามทอดทิ้งเด็ดขาด"
"ลูกเป็นดั่งแก้วตา เจ้าก็เปรียบเหมือนดวงใจ จะให้พี่ทิ้งไปได้อย่างไรเล่า"
ซอกจินสวมกอดภรรยาที่กำลังอุ้มท้องเจ้าตัวน้อยด้วยความอิ่มอกอิ่มใจล้นออกมาจนดงอุนที่ยืนมองอยู่อดที่จะยินดีตามไปด้วยไม่ได้และหลังจากนั้นมาทั้งดงอุนและโยจองก็เห็นพ่อคนกวีเอกในคราบคนปากแข็งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน บอกรักภรรยาเช้าเย็น ดูแลอย่างที่เขาว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ยิ่งแทฮยองตั้งท้องได้ห้าหกเดือนผิวพรรณก็ยิ่งเปล่งปลั่ง พ่อเจ้าประคุณก็หลงหัวปักหัวปำ เจอลูกอ้อนว่าที่คุณแม่นิดหน่อยก็รีบหามาใส่พานถวายให้ถึงตรงหน้า
"ท้องจนอีกไม่กี่เดือนจะคลอดแล้วแต่หน้าท้องออกมาเพียงนิด ตอนแรกพี่ก็ตกใจแต่หมอหลวงและแม่พี่บอกว่าเป็นเรื่องปกติของท้องแรก ว่าแต่เจ้ายังปวดหลังอยู่อีกหรือไม่"
"ไม่แล้ว ท่านสั่งเตียงหลังใหญ่มาอีก ดูแลดีปานฉะนี้แค่เห็นก็ทำเนาไปได้มากแล้ว"
"หากพี่เป็นมือเป็นขาให้เจ้าได้พี่จะเป็นเพราะเจ้าอุตส่าห์ตั้งท้องลูกของเรา"
"อือ กอดน้องหน่อย"
"สงสัยว่าเราจะได้ลูกสาวเจ้าว่าไหม"
"หืม เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น"
"อ้อนพี่ตั้งแต่ล่วงเข้าเดือนที่สี่ เห็นทีว่าเราจะได้ลูกสาวกันแล้ว เจ้าว่าไหม"
"น้องมิได้อ้อนสักหน่อย"
"แล้วชอบมาซุกกับอกพี่นั้นเรียกว่าอะไรหรือ"
"อื้อ ก็ตัวหอมเองทำไม หากรำคาญน้องจะไปกอดผู้อื่นก็ได้"
"ได้อย่างไรกัน พี่ไม่ยอมหรอกหนา เจ้าและลูกเป็นสมบัติของพี่ พี่มิยอมยกให้ใครเป็นแน่"
"เช่นนั้นต้องกอดน้องกับลูกทุกคืน อย่าได้หลงลืมเชียว"
"เนื้อตัวเจ้าเปล่งปลั่งดั่งอัญมณีพี่ก็ยิ่งอยากกอดอยากจูบเจ้าตลอดเวลา"
ตั้งแต่ที่ภรรยาตัวเล็กเริ่มอ้อนบ้างก็งอแงหาอาหารจานโปรดก็รังแต่จะเพิ่มระดับความน่ารักน่าเอ็นดูจนคนเป็นสามีลักหอมแก้มหอมขม่อมตลอดเวลา หากได้ลูกสาวอย่างที่คาดคิดคงมิวายได้ออดอ้อนกันทั้งวันเป็นแน่
"พี่โยจองบอกว่าหากได้ลูกสาวจะมีรูปท้องที่กลมมน หากได้ลูกชายท้องจะแหลมพุ่งไปด้านหน้า"
"จริงหรือ ไหนพี่ขอดูอีกครั้งเถิด" แทฮยองหัวเราะให้กับท่าทีของซอกจินที่ดูจะตื่นเต้นไปเสียทุกอย่าง เขาแหวกสาบเสื้อออกก่อนจะลูบไปมาเบา ๆ
"ท่านว่ายังไง หญิงหรือชาย"
"ไฉนจึงดูเหมือนลูกชาย พี่สับสนเสียจริง ไหนบอกพ่อหน่อยสิลูกว่าเราเป็นลูกชายหรือลูกสาวกัน หืม ว่าอย่างไรนะ เจ้าไม่ยอมบอกพ่อรึ ได้อย่างไรกันเล่า แม่เจ้าก็รอฟังอยู่"
"ท่านอย่าดุลูกเชียวนะ น้องกลัวลูกเสียใจ"
"แม่ไม่ให้พ่อดุเจ้า แต่แม่ดุพ่อแล้ว เข้าข้างพ่อด้วยล่ะเจ้าตัวเล็ก"
ซอกจินนอนคุยกับลูกผ่านท้องของภรรยาสร้างบรรยากาศอบอุ่นขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว แทฮยองลูบผมซอกจินไปมาอย่างเบามือ ในยามที่เขาคุยเล่นกับลูกเช่นนี้ ดั่งฝันในวันวาน แทฮยองจากบ้านมาแสนไกลพบเจอผู้คนแปลกหน้าหารู้ใจเขาได้ ครั้นแรกพบกับท่านกวีก็ปลาบปลื้มเสียจนเก็บไปฝันถึงหลายครา มาจนถึงวันนี้ที่มีเขาเป็นพ่อของลูกก็นับเป็นความสุขใจอย่างหนึ่งในชีวิต
แล้ววันนั้นก็มาถึงระยะเวลาเกือบเก้าเดือนที่ตั้งท้องมากำลังจะจบลงและเป็นจุดเริ่มต้นของอีกชีวิตที่จะได้ลืมตาดูโลก ถือเป็นเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ทว่ามีกันและกันก็พร้อมจะก้าวเดินไปพร้อมกัน ยามที่ฝ่ามือทั้งสองประสานกันความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปถึงเบื้องลึกของหัวใจ
"อิลฮุน ลูกชายเราเลี้ยงง่ายไม่เห็นเหมือนแม่เลย" ภรรยาตัวเล็กได้ฟังก็เบะปากหันหลังหนีขณะที่สวมเสื้อคลุมไปด้วย
"ว่าน้อง น้องจะโกรธไปสิบปี อ๊ะ ซอกจิน ท่านจะทำอะไร"
"เสื้อคลุมเจ้าหลุดเองหนา พี่ไม่ได้แกล้ง"
ร่างบางหันมาหาคนขี้แกล้ง แกล้งได้ทุกค่ำคืน เดี๋ยวบังเอิญสะดุดมาหอมมาจูบบ้างล่ะ เดี๋ยวบังเอิญนิ้วสะกิดเสื้อคลุมจนร่วงไปกองกับพื้นบ้างล่ะหรือบางทีก็แกล้งจนขาเตียงสั่นไปหมด
"เพิ่งจะอาบน้ำกันไปเอง"
"พี่ชอบถูตัวให้เจ้า ต่อให้เนื้อตัวเปื้อนเพียงใดพี่ก็ยังอยากทำให้"
"หากท่านถูด้วยใยบวบก็คงจะดี หากเป็นสิ่งอื่นน้องคง..."
ไหล่บางถูกประทับรอยจูบไว้ทั้งสองข้างราวกับเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของและอ้อนวอนในที ร่างสูงกอดรั้งเอวภรรยาไว้แนบชิด แผ่นอกกว้างรองรับแผ่นหลังบอบบางน่าทะนุถนอม ใบหน้าหวานเอียงรับจูบอันหวานหอมทว่าพรากตัวตนไปจนหมดสิ้น แก่นกายถูไถไปมาตามร่องลูกพีชสีนวลจนเต่งเบ่งขนาดของมัน
"หืม อย่างไรหรือ" ริมฝีปากอิ่มกดจูบไปตามกรอบหน้า ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามเรียวแขนและเอวคอดทำเอาร่างบางถึงกับต้องกัดปากแน่น
"คงจะต้องงอแงให้ท่านได้เย้าแหย่อีกเป็นแน่"
"พี่ชอบให้เจ้างอแง"
"อื้อ"
ท่าทางเหนียมอาย หากแต่ทุเลาลงจากคืนแรกมากแล้ว แทฮยองมักจะเขินจนหน้าแดงวางมือไม้ไม่ถูก ซอกจินใช้หัวเข่าดันเรียวขาข้างหนึ่งออกห่างเล็กน้อยแล้วจับปลายหัวบานถูไถไปตามร่องรูจีบสีสวย เรียวลิ้นแลบเลียไปตามใบหูของเมียรัก เชื่อเถิดว่าตอนนี้แทฮยองทั้งใจและกายอ่อนยวบจมไปกับห้วงอารมณ์เหล่านี้จนหาทางออกไม่เจอแล้ว
"พี่ชอบง้อเจ้า ง้อจนกว่าฟ้าจะสาง"
"น้องต้องเลี้ยงลูกด้วย อ๊ะ" เสียงน่าอายหลุดจากปากเมื่อแก่นกายแทรกเข้าไปในตัว ทว่าภายในผนังนุ่มตอดรัดถี่รัวจนร่างสูงต้องกัดปากแน่น
"พี่จะช่วยเจ้าเอง"
"แต่น้องอยากเห็นหน้า ยืนเช่นนี้แล้วจะเห็นได้อย่างไร"
"ออดอ้อนเก่งเสียจริง เช่นนั้นก็มองกระจกบานนั้นไว้เถิด เจ้าจะได้เห็นทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ"
"อื้อ"
"ชัดเจนจนเจ้าละสายตาไปไม่ได้เลยทีเดียว แทฮยอง"
กระจกบานใหญ่ตรงหน้าที่ถูกติดไว้ข้างประตูฉายภาพของทั้งสอง เรือนร่างแนบชิดกายติดกันยิ่งเห็นก็ยิ่งน่าอาย หยาดเหงื่อและเสียงหอบกระเส่ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว หากแต่ยิ่งทำให้แรงอารมณ์และความปรารถนาอันหวานหอมที่หลอมติดกันไว้ร้อนแรงจนแทบละลาย
"ซอกจิน ซอกจิน"
"เรียกพี่เสียงสั่นเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร หืม"
"น้องรักพี่ น้องรักพี่จิน รักพี่จิน"
คนฟังยิ้มดีใจ เคลื่อนริมฝีปากอิ่มทาบทับสัมผัสอย่างแผ่วเบาลงบนหน้าผากภรรยาราวกับย้ำเตือนถึงความรักและความห่วงหาที่มีให้แทฮยองเสมอมาและตลอดไปจวบจนชีวิตจะหาไม่
"ร่ายมนตร์รักใส่เจ้าแล้ว ต่อไปพี่คงต้องร่ายมนตร์เรียกลูกสาวมาเกิดกับเจ้าบ้างแล้ว"
------- ♤ -------
ปุ้ง ปุ้ง จุดพลุค่า ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนมานะคะ เรื่องนี้เขียนยาวมาก เขียนเพลินเลย แหนะ มีใครเขิน ใครแอบยิ้มบอกมาให้รู้ ทางนี้แต่งเองก็เขินเอง บ้าบอจริงเชียว เรื่องราวงอนง้อคู่สามีภรรยาที่รักกันนานแล้วแต่ไม่ยอมปริปากพูดกันอะเนาะ อู้ย น่ารักชะมัด และสาเหตุที่ใส่กลอนมาด้วยเพราะไรท์เตอร์ชอบจำพวกกาพย์โคลงกลอนมาตั้งแต่เด็กแล้วก็เลยอยากจะใส่ลงไป หวังว่าจะกลมกล่อมถูกใจกันถ้วนหน้านะคะ
ฝากคอมเมนต์ติชมเป็นกำลังใจให้ไรต์เตอร์ตัวเท่าเมี่ยงคนนี้ด้วยนะคะ จะสติ้กเกอร์ รูดแป้นมาได้หมด ฮี่ ๆ หลังจากนี้ขอให้ทุกคนได้พบคนดีที่พร้อมสนับสนุนในสิ่งที่คุณรักเยอะ ๆ เลยน้า จุ้บ
10.45 a.m.
twitter.com/mymoonisseokjin
YOU ARE READING
OS JINV : I PUT A SPELL ON YOU
Fanfiction"โปรดปฏิบัติตัวเช่นสามีคนเดิมเถิด ท่านไม่จำเป็นต้องฝืนเช่นนี้" --- "การที่ข้านอนกอดเจ้าทั้งคืนนั่นเรียกฝืนหรอกหรือ แขนข้าก็กอดเอวเจ้าเอง จมูกข้าก็ซุกกับไหล่เจ้าเอง หาได้มีผู้ใดมาบังคับ"