ในชีวิตที่แล้วของเขา หวงอีเหว่ย
สิ่งเดียวที่จำได้ติดหัวจนกระทั่งก่อนตายคือ ตัวเขาไม่เคยติดค้างใคร
เขาเกิดมาในตระกูลอ๋อง เป็นลูกชายคนโตที่พ่อไม่รัก ตัวเขาไม่เคยโกรธแค้น
โตขึ้นมารับราชการ ดำรงตำแหน่งเป็นแค่ผู้ช่วยเล็กๆ ค่อยๆไต่เต้าขึ้นมาด้วยลำแข้งของตัวเอง แม้จะยากลำบาก แต่เขาไม่เคยโกรธเคือง
โตมาอายุครบ 18 ที่ชายแดนมีปัญหาน้ำแล้ง ผู้คนอดอยากล้มตาย เขาถูกส่งไปตรวจตราดูแล ขึ้นชื่อว่าเป็นชายแดน ไม่ว่ายังไงก็ฟังดูลำบากข้นแค้น แต่เขาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นขุนนาง การลำบากเพื่อประชาชนคือหน้าที่ของเขา อีกอย่างชีวิตเขาก็เป็นแบบนี้ อยู่เงียบๆไม่มีปากมีเสียงอะไรมาก เป็นถึงบุตรชายคนโตของชินอ๋อง* แต่อายุ 18 แล้วก็ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งยศตามบรรดาศักดิ์ เขาได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ ก้มหน้าคุกเข่ารับราชโองการ ไปอยู่ชายแดนไกลหน่อยก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อย เขาก็จะได้ไม่ต้องทนเห็นภาพบาดตา
เขาใช้เวลาอยู่ที่ชายแดนเกือบ 5 ปี ค่อยๆ พัฒนาพื้นที่แห้งแล้งให้อุดมสมบูรณ์มากขึ้น ค่อยๆปรับเปลี่ยนโครงสร้างของผังเมืองให้มีความมั่งคง ขยายอาณาเขตทางชายแดนด้วยกำลังคนอันน้อยนิดจนสามารถยึดพื้นที่ติดชายทะเลได้ พัฒนาแหล่งน้ำให้มีมากพอทั้งการกินการใช้และการคมนาคม ผู้คนเริ่มหลั่งไหลมายังชายแดนที่ครั้งหนึ่งเคยแห้งแล้ง ประชาชนในการปกครองของเขาเริ่มมีความสุขเพิ่มมากขึ้น ทุกคนหัวเราะออกและยิ้มได้ เขาเองก็มีความสุข ทุกวันๆ ที่มีเวลาเขาจะนั่งอยู่ตรงโขดหินริมชายฝั่งทะเล มองเรือสินค้าที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น เขารักเมืองนี้เหมือนลูกของตัวเอง รักมากกว่าเมืองเกิด การเห็นเมืองนี้เติบโตอย่างมั่นคงคือความสุขอย่างหนึ่งของตัวเขา
แต่ความสุขก็อยู่กับเขาไม่นานนัก วันหนึ่งก็มีสารลับส่งตรงมาจากวังหลวง องค์ชายสามก่อกฎบหวังขึ้นครองราชย์แทนองค์รัชทายาทที่ได้การแต่งตั้ง เขาถูกเรียกตัวกลับ บิดาของเขาจบชีวิตลงหลังจากปกป้ององค์ฮ่องเต้ น้องชายคนรองอยู่ข้างองค์ชายสาม ฮ่องเต้เองก็ประชวรหนักเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนัก สถานการณ์ทางการเมืองพลิกผันแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย เขาต้องรีบกลับไปเมืองหลวงเพื่อชิงตำแหน่งชิงอ๋องคืน รวมทั้งต้องหาทางจัดการกับน้องรองก่อนที่เขากับองค์ชายสามจะก่อกฏบสำเร็จ